”รบจริง รู้จริง จริงใจ”เพื่อสันติสุข ‘ภาณุ’รวมใจคนตานีช่วยบ้านเกิด
นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดงานปัตตานีวันนี้ ที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา เราได้มีการเสวนา ”108 ความจริงที่อยากเล่า จากเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้านเรา” โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ ”ลุงสนธิ์คนตานี” เป็นราษฎรไทยพุทธจากพื้นที่สีแดงเสี่ยงภัยปะนาเระ และคอลีเยาะ หะลี ที่สูญเสียคุณพ่อจากเหตุการณ์กรือเซะ 28 เมษายน 2547 เป็นตัวแทนพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ที่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบร่วมเสวนา โดยมี นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นคนอำเภอปะนาเระ ปัตตานี พร้อมสมาชิกชาวปัตตานีใน กทม.และปริมณฑล ประมาณ 5,000คนเข้าร่วม
นายภาณุ กล่าวว่า ในความตั้งใจเดิม ตนอยากให้มีการตั้งคำถามที่มีคนสนใจอยู่ในเวลานี้ เช่น ความสำเร็จของโครงการพาคนกลับบ้าน เรื่องการดูแลกลุ่มไทยพุทธในพื้นที่ เรื่องสิทธิพิเศษต่างๆที่ให้กับคนในพื้นที่ รวมถึงเรื่องการสร้างความปลอดภัยแก่บุคคลในพื้นที่ โดยลุงสนธิ์ และคอลีเยาะ เห็นร่วมกันว่า ในพื้นที่วันนี้ดีขึ้นแล้ว พร้อมพูดคุยในประเด็น 2 เรื่อง คือ 1.พาคนกลับบ้าน ซึ่งเป็นที่เข้าใจร่วมกันว่า รัฐบาลมีโครงการดังกล่าวขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้น เกิดจากกลุ่มคนเห็นต่างในพื้นที่ที่อาจถูกปลุกด้วยอุดมการณ์ในเรื่องการแบ่งแยกดินแดน แต่ในวันนี้เป็นที่รับรู้กันดีว่า แนวทางในการปลุกระดมมีการบิดเบือนหลักคำสอนทางศาสนาอิสลามเป็นสำคัญ และจุฬาราชมนตรีได้ออกคำวินิจฉัย หรือหลักฟัตวา เรื่องดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พี่น้องชาวไทยมุสลิมสามารถอยู่ร่วมกันด้วยความสมบูรณ์พร้อมทั้งการได้รับสิทธิพลเมือง สนับสนุนการปฏิบัติศาสนกิจ และการเผยแพร่ศาสนาอย่างไม่มีข้อจำกัด ซึ่งในวันนี้มีการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องออกไป เพื่อให้คนที่เข้าใจผิดได้กลับเข้ามามีความเข้าใจอย่างถูกต้อง และไม่ต้องเป็นเครื่องมือของเขา
”พาคนกลับบ้าน เป็นโครงการหนึ่งที่เปิดประตูให้คนที่หลงผิดได้รับรู้ในข้อเท็จจริงมากขึ้น และ 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้กลับมาเข้าร่วมโครงการแล้วกว่าหมื่นคน”
นายภาณุ กล่าวต่อว่า โดย คอลีเยาะ หะลี ได้บอกเล่าถึงปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในพื้นที่ที่ ”พลโทพรศักดิ์ พูลสวัสดิ์”แม่ทัพภาคที่4 กำหนดให้เป็นนโยบายสำคัญในการทำให้พื้นที่ลดปัญหายาเสพติดหรือชุมชนปลอดยาเสพติด ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ที่ทั้งสองท่าน คือ ลุงสนธิ์ และคอลีเยาะ ต่างเห็นว่า วันนี้ทุกอย่างดีขึ้น ทั้งฝ่ายราชการก็ได้ความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นว่า ในเหตุการณ์ใหญ่ๆที่เคยเกิดขึ้น เช่น ระเบิดบิ๊กซีปัตตานี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 การวางระเบิดตลาดพิมลชัย จ.ยะลา การระเบิดตู้ATM ที่ปัตตานี และการลอบยิงครอบครัวไทยพุทธที่อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ซึ่งมาจากความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จนนำไปสู่การจับกลุ่มคนร้ายมาสารภาพได้สำเร็จ
“วันนี้เราพอใจ เมื่อเกิดเหตุ สามารถตามจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะเป็นการบ้านโจทย์ใหญ่ๆ คือ ทำอย่างไรให้รู้การข่าว ก่อนจะเกิดเหตุที่สามารถนำไปสู่การลดความเสียหายและระงับเหตุการณ์ได้”
นายภาณุ กล่าวต่ออีกว่า จากแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลนั้น ตนเห็นว่า 1.การลดปัญหาการก่อเหตุร้าย สร้างความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชน 2.งานการพัฒนา และ3.การสร้างความเข้าใจ ที่เป็นแนวนโยบายของรัฐบาลที่ดำเนินการมาตามลำดับ โดยส่วนที่ 1 กำจัด และจำกัด มีความจำเป็นต้องมีการสร้างการรับรู้ รวมถึงการรบจริง อันนี้มิใช่ที่ผ่านมาเรารบไม่จริง เพียงแต่เราต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มการดูแลและรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนมากขึ้น การติดตามคนร้าย เพื่อนำไปสู่การระงับการก่อเหตุร้ายได้ และกำจัดคนก่อเหตุรุนแรง พร้อมจำกัดสมาชิกฝ่ายเห็นต่างไม่ให้เพิ่มขึ้น
ส่วนที่2 รู้จริง หมายถึงฝ่ายพี่น้องประชาชนได้มีความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องอะไร ฝ่ายเห็นต่างมีเป้าหมายเพื่อการแบ่งแยกดินแดน และชาวบ้านก็รับรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา ฉะนั้นความเข้าใจกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ถ้อยที ถ้อยอาศัยกัน ก็จะเป็นเรื่องที่สำคัญของพี่น้องประชาชน เราต้องรู้ว่ามีคนที่พยายามยุแหย่ให้เกิดการขัดแย้งแตกแยกไทยพุทธมุสลิมกัน และเราต้องรู้ในเรื่องการรักษาความปลอดภัย พร้อมระมัดระวังป้องกันภัยต่างๆ จนไปถึงการรู้วิธีการ กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม
ส่วนที่ 3 จริงใจ ด้านสื่อมวลชนจะต้องนำเสนอความจริงที่ไม่มีการตกแต่ง เช่น ตัวเลขสถิติข้อมูลต่างๆ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตัวเลข ข้อมูลสถิติที่ถูกสื่อออกมา ยังไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ตัวอย่าง นำเสนอเกิดเหตุ100 ครั้ง แต่ปรากฎข้อเท็จจริงเป็นคดีที่จัดเป็นคดีด้านความมั่นคง ประมาณ60 คดีที่เหลือเป็นเหตุส่วนตัว และจากกลุ่มคดีความมั่นคงดังกล่าวแยกเป็นคดีที่เกี่ยวเหตุการณ์ความไม่สงบ เป็นการสร้างสถานการณ์การก่อเหตุร้ายจริงๆแค่ร้อยละ60 คือ40 คดีจากที่เป็นข่าวเดิม100เรื่อง หากสื่อมวลชนมีการนำข้อมูลที่ถูกต้องเหล่านี้ไปนำเสนอ ก็จะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ รวมถึงความจริงจัง จริงใจ ของบรรดาผู้รู้ ผู้นำทางศาสนาที่จะนำเอาข้อเท็จจริงไปสื่อสาร เช่น เรื่องการฟัตวาจากท่านจุฬาราชมนตรี ก็ต้องทำหน้าที่ในการนำไปบอกกล่าวให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้รับรู้และเข้าใจต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งทางพระสงฆ์ ก็ต้องนำไปบอกกล่าวให้กับพี่น้องประชาชนในการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคีไม่ให้เกิดความแตกแยก
”รบจริง รู้จริง จริงใจ แนวทางที่ทุกฝ่ายสามารถนำไปใช้ เพื่อให้เกิดความสันติสุขในพื้นที่” นายภาณุ กล่าว